i-happy

ศิลปะแห่งการชง..."หงส์" ในถ้วย "กาแฟ"
ด้วยความที่เป็นคนชอบดื่มกาแฟเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว "ติ๊ก" อมร บุญเนาว์ เลยคิดอยากทำให้คนอื่นได้ชิมรสชาติที่ตัวเองเป็นคนชงด้วย เลยมาสมัครที่บริษัท เอสแอนด์พี (S&P)

เพื่อเป็น "บาริสต้า" หรือพนักงานชงกาแฟ ชงอยู่นานและเข้าประกวดเวทีบาริสต้าจนได้รางวัลมาหลายเวที ล่าสุดโชว์ฝีมือชงกาแฟ "ลาเต้ อาร์ท" เป็นรูปตัวหงส์ คว้ารางวัลชนะเลิศ ไทยแลนด์ บาริต้า แชมเปี้ยน (Thailand Barista Champion) 2008 และได้เป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแข่งขันชงกาแฟที่ต่างประเทศอีกด้วย

"สำหรับคนที่อยากเป็น ถ้ามีเครื่องอยู่แล้ว ก็ให้หมั่นฝึกฝน ลองทำไปเรื่อยๆ อาจลองทำรูปหัวใจก่อน เพราะง่ายสุด แต่ที่เป็นรูปหงส์นี่ยาก แต่ก็พยายามฝึกซ้อมจนเป็นรูปขึ้นมาได้" แชมป์บาริสต้าบอกเคล็ดลับ

ที่มา หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก


http://www.healthcorners.com/2007/coffee_web/Read.php?id=86

i-happy


เดลิเมล์ – นักวิจัยแนะดื่มกาแฟวันละถ้วยช่วยปกป้องสมองจากอันตรายของคลอเรสเตอรอลที่เกี่ยวพันกับโรคอัลไซเมอร์

ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษาโรคอัลไซเมอร์ ดังนั้น หากรู้วิธีชะลอหรือระงับก่อนที่โรคจะก่อตัวขึ้นจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ดี

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ทดาโกตา สหรัฐฯ ได้ศึกษาผลของคาเฟอีนที่มีต่อบริเวณทำนบกั้นระหว่างกระแสโลหิตและเซลล์สมอง (blood-brain barrier - BBB) หรือกลไกธรรมชาติที่ช่วยป้องกันสารอันตรายไม่ให้เล็ดลอดเข้าสู่สมอง

ผลศึกษาก่อนหน้านี้หลายฉบับบ่งชี้ว่า ระดับคลอเรสเตอรอลสูงที่อยู่ในอาหารอุดมไขมัน ทำให้ทำนบนี้เกิดการรั่วซึม เซลล์สมองจึงถูกทำลายซึ่งเป็นสภาพของโรคอัลไซเมอร์

ในการศึกษาล่าสุด นักวิจัยให้กระต่ายในห้องทดลองกินอาหารอคลอเรสเตอรอลสูง และคาเฟอีน 3 กรัมต่อวัน หรือเท่ากับกาแฟวันละถ้วยสำหรับคนปกติ

หลังจาก 12 สัปดาห์ การทำการทดสอบซ้ำหลายครั้งพบว่า บริเวณทำนบกั้นระหว่างกระแสโลหิตและเซลล์สมองของกระต่ายที่ได้รับคาเฟอีนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ศาสตราจารย์โจนาธาน ไกเกอร์ หนึ่งในผู้เขียนรายงานฉบับนี้ กล่าวว่าดูเหมือนคาเฟอีนจะไปช่วยสกัดผลร้ายหลายอย่างจากคลอเรสเตอรอลที่ทำให้บริเวณทำนบกั้นระหว่างกระแสโลหิตและเซลล์สมองรั่ว

“นี่เป็นครั้งแรกที่แสดงให้เห็นว่า การกินกาแฟเป็นประจำช่วยปกป้องทำนบกั้นระหว่างกระแสโลหิตและเซลล์สมองจากการเจาะทะลวงของคลอเรสเตอรอล”

รายงานในวารสารนิวโรอินฟลามเมชัน ยังระบุว่ามีแนวโน้มที่คาเฟอีนจะช่วยรักษาระดับโปรตีน ซึ่งทำให้บริเวณทำนบกั้นระหว่างกระแสโลหิตและเซลล์สมองแข็งแรง

งานศึกษานี้ตอกย้ำงานศึกษาชิ้นก่อนๆ ที่แสดงให้เห็นว่า คาเฟอีนช่วยปกป้องความจำของผู้สูงวัย เท่ากับว่าสารชนิดนี้มีส่วนสำคัญในการบำบัดความผิดปกติของระบบประสาท

ด้านมูลนิธิอัลไซเมอร์ส โซไซตี้กล่าวว่า รายงานล่าสุดของนอร์ทดาโกตาช่วยอธิบายว่า เหตุใดงานวิจัยในอดีตจึงแสดงให้เห็นว่าการดื่มกาแฟช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้

ผู้อำนวยการแผนกวิจัยของมูลนิธิฯ ดร.ซูซาน ซอเรนเซน เสริมว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อดูว่า กาแฟมีผลแบบเดียวกันนี้กับคนหรือไม่

นอกจากจะมีประโยชน์ในการปกป้องความจำแล้ว ก่อนหน้านี้ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า คาเฟอีนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหอบหืด และปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจ

คอกาแฟยังมีความเสี่ยงน้อยลงในการเป็นมะเร็งบางชนิด รวมถึงโรคพาร์คินสัน และเบาหวานประเภท


ที่มา หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ
i-happy

หลายคนคงคิดว่า กาแฟ อะไรก๊าน...จะมาต้านมะเร็งได้ ดีแต่จะทำให้เป็นมะเร็งซะมากกว่า จริงๆ แล้วการดื่มกาแฟนอกจากจะทำให้สมองตื่นตัวแล้ว ยังสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ด้วย แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่าสงวนไว้เฉพาะกาแฟพันธุ์ อาราบิก้า เท่านั้นนะจ๊ะ

แล้ว ที่สำคัญการดื่มกาแฟต้องดื่มตอนร้อนๆ แล้วเปลี่ยนจากการใส่น้ำตาลมาใส่น้ำผึ้งแทน อ้อ...ถ้าจะช่วยในเรื่องของสุขภาพได้ ต้องดื่มกาแฟสลับกับการดื่มน้ำชานะจ๊ะ แต่ก็อย่าดื่มทั้งกาแฟและชามากจนเกินไป เว้นระยะในการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้บ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายเราไงจ๊ะ

ที่มา หนังสือพิม์ คม ชัด ลึก

http://www.healthcorners.com/2007/coffee_web/allNews.php
i-happy
ความขยันอดทน ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุคนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ปรัญชาในการดำเนินชีวิตนี้ย่อมใช้ได้เสมอ จากตัวอย่างจาก 2 สามีภรรยา ที่เคยทำงานประจำ แต่ก็ได้นำประสบการณ์ด้านการทำอาหาร มาปรับใช้กับธุรกิจ ที่ถึงแม้จะไม่ตรงกับสายงานที่ทำมามากนัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้มาคือ ความขยัน อดทน ที่เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นต่อธุรกิจ “Coffee Car”

ในยุคนี้การขายสินค้าที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าให้มากที่สุด เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญยิ่ง ในขณะที่การแข่งขันก็มีสูง ดังนั้นใครที่สามารถยึดทำเลทองได้ก่อน โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ เพียงจ่ายแค่ค่าที่จอดรถ ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง โดยชัยวัฒน์ กับอชิรญาณ์ ดีเจริญ 2 สามีภรรยาเจ้าของธุรกิจ Coffee Car ซอยรางน้ำ เล่าว่า เดิม อชิรญาณ์ ทำงานด้านอาหาร แต่เมื่อแต่งงานก็ต้องมาช่วยงานร้านขายส้มตำของครอบครัวสามี แต่ลึกๆ แล้ว ทั้งคู่อยากเปิดร้านในฝันอย่างร้านกาแฟเป็นของตัวเอง จึงเริ่มสำรวจทำเล พร้อมหาพื้นที่เช่าหน้าร้านขายกาแฟ แต่สุดท้ายต้องยอมจำนนกับค่าเช่าที่แสนแพง

“เมื่อเราทั้งคู่เจอค่าเช่าที่ค่อนข้างสูง จึงคิดดัดแปลงรถซูบารุ ที่เดิมใช้เป็นรถขนวัตถุดิบของร้านส้มตำ มาต่อเติมเป็นรถขายกาแฟ หวังลดต้นทุนในเรื่องค่าเช่าที่ จ่ายเพียงค่าที่จอดรถเท่านั้น ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า ในขณะที่ปัญหาต่อมาคือ การทำกาแฟสดจากเครื่องชงกาแฟ ที่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ข้อจำกัดของรถซูบารุ เพราะหากไปจอดในสถานที่ที่ไม่มีที่ให้เชื่อมต่อไฟฟ้า ก็จะไม่สามารถทำกาแฟสดได้ จึงได้ควานหาเครื่องชงกาแฟที่คุณภาพกาแฟที่ออกมาไม่แพ้การชงจากเครื่องชงกาแฟ โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า จนมาเจอเครื่องชงกาแฟสดขนาดกระทัดรัด ใช้ความร้อนจากเตาอินฟราเรด ที่สามารถชงกาแฟสดออกมาได้รสชาติเหมือนกับชงจากเครื่องกาแฟสด”

หลังจากที่ตัดสินใจเปิดร้าน Coffee Car ทำให้คุณน้องไปเรียนการทำเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เพิ่มเติม และลองมาเปิดร้านในย่านซอยรางน้ำ ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ด้วยรถซุบารุที่ถูกออกแบบมาเพื่อขายเครื่องดื่มโดยเฉพาะ แม้ในช่วงแรกทั้งคู่จะพบปัญหาในเรื่องที่จอดรถ ต้องโดนย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท้อแท้ พยายามขยับพื้นที่มาเรื่อยๆ จนได้พื้นที่ลงตัวคือ ตรงข้ามโรงแรม พูลแมน บางกอก คิงเพาเวอร์ ซึ่งมีลูกค้าหลักคือพนักงานออฟฟิศ และผู้ที่ผ่านมาในย่านนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะสะดุดในรูปลักษณ์ของรถซูบารุ และเครื่องชงกาแฟสดขนาดกระทัดรัด ที่ลูกค้าเมื่อเห็นเค่เครื่องชง เกือบทุกรายต้องขอชิมรสชาติกาแฟสดจากเครื่องนี้

ส่วนการลงทุนธุรกิจนี้ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่สูงเกินไป เหมาะกับยุคนี้ที่จะทำให้คนตกงานสามารถเริ่มต้นธุรกิจ คือ ราคารถซูบารุที่ซื้อมาตั้งแต่แรกราคา 5 แสน (คุณน้องแนะนำว่าหากผู้ที่มีรถยนต์หรือรถจักยานยนต์อยู่แล้ว ก็สามารถนำมาดัดแปลงเป็นรถขายกาแฟได้ ขึ้นอยู่กับงบประมาณ) ในขณะที่ค่าตกแต่งของรถซูบารุคันนี้อยู่ที่ 30,000-40,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงเกินไปนัก โดยเฉพาะกับธุรกิจการขายเครื่องดื่มกาแฟสด และเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เพราะหากขายดีก็จะคืนทุนเร็ว ซึ่งร้าน Coffee Car เคยทำสถิติการขายเครื่องดื่มหลากหลายชนิดทั้งกาแฟสด ชามะนาว โกโก้ ชาเย็น บลูโซดา ฯลฯ ได้ถึง 3,700 บาท (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย) ซึ่งถือเป็นวันที่มีรายได้มากที่สุดตั้งแต่เปิดขายมา

“เราพยายามคิดเมนูเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ขึ้นมาอย่างเนื่อง โดยอาศัยการคิดแทนลูกค้าที่บางครั้งอาจเบื่อหน่ายกับเครื่องดื่มที่มีนมผสม ดังนั้นเราจึงทำน้ำผลไม้ขึ้นมาด้วย เช่น น้ำลำไย น้ำมะพร้าว เก็กฮวย น้ำมะนาวใบเตย ขายในราคาแก้วละ 15 บาท ในขณะเครื่องดื่มอย่างกาแฟ ชานมเริ่มต้นที่ 15-30 บาทเท่านั้น”

นอกจากทั้งคู่จะเน้นไปที่ธุรกิจ Coffee Car แล้ว ความขยันในการดำเนินธุรกิจยังไม่จบ เพราะทั้งคู่ยังทำคอฟฟี่ เบรก (Coffee break) ด้วย โดยตกกล่องละ 30 บาท ประกอบด้วยน้ำผลไม้ และแซนด์วิช ในขณะที่ในแต่ละวันก่อนไปขายกาแฟ ทั้งคู่จะตื่นแต่เช้ามืดเพื่อทำแซนด์วิช และน้ำผลไม้บรรจุขวด ส่งตามร้านกาแฟโบราณ โดยจัดส่งแซนด์วิชประมาณ 600 กล่อง/วัน

มาวันนี้ความที่ทั้งคู่ขยันอดทน กับธุรกิจเล็กๆ ที่ต้องต่อสู้กับสภาพอากาศร้อนของเมืองไทย ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความขยันและอดทนสามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจจริงๆ และถือเป็นสิ่งดีๆ ที่คนตกงานสามารถนำไปปรับใช้กับการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับธุรกิจเล็กๆ อย่างรถกาแฟ ก็สามารถเติมเต็มชีวิตที่เคยผิดหวังในฐานะมนุษย์เงินเดือนไปได้


ที่มา หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ
i-happy

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกาแฟ อ่านเจอจากแมกาซีน Cosmopolitan เลยเอามาแบ่งปันกัน...

จริงอยู่ที่กาแฟอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้ แต่ถ้าดื่มสักวันละถ้วย กาแฟก็มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อย และต่อไปนี้คือ 4 เหตุผลที่คุณควรหาเวลานั่งชิวๆ ดื่มกาแฟสักถ้วย

1.กาแฟอาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมในผู้หญิงบางคนได้ โดยเปลี่ยนชนิดของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่อาจกระตุ้นให้เกิดก้อนเนื้อไปเป็นชนิดที่ไม่มีพิษภัยมากกว่า แถมยังช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้ด้วย

2.จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์พบว่าร่างกายสามารถดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากกาแฟได้มากถึง 3 ใน 4 ส่วน ขณะที่สามารถดูดซึมจากชาเขียวได้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

3.ดื่มกาแฟวันละถ้วย ช่วยป้องกันผลกระทบจากการมีคอเลสเตอรอลสูง รวมถึงโรคอัลไซเมอร์ด้วย

4.ผู้เชี่ยวชาญในญี่ปุ่นพบว่ากลิ่นของกาแฟช่วยกระตุ้นการทำงานของยีนที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว อาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้จิบด้วยซ้ำ ที่มา หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ
i-happy
รายละเอียด
- เวียดนามส่งออกกาแฟมากเป็นอันดับสองรองจากบราซิล กาแฟยังเป็นผลผลิตส่งออกมากเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากข้าว โดยเฉพาะกาแฟโรบัสตา ถือเป็นตัวชูหน้าชูตาของประเทศนี้
ผลผลิตกาแฟของเวียดนาม เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2518 เพิ่มจาก 6,000 ตัน เป็นกว่า 700,000 ตัน พื้นที่ปลูกก็เพิ่มจาก 13,000 เป็น 500,000 เฮกตาร์ (79,000-3,050,000 ไร่)

ในปัจจุบัน แหล่งปลูกกาแฟที่สำคัญของประเทศคือบริเวณที่ราบสูงตอนกลาง (Central Highlands) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือของเวียดนาม เพราะมีสภาพอากาศและภูมิประเทศที่เหมาะมากที่สุด

กาแฟของเวียดนาม กำลังขยายที่ทางบนตลาดกาแฟโลกมากขึ้นเรื่อยๆ

ปริมาณการส่งออกกาแฟโลก ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ขยับขึ้น 8.6% เป็น 7.02 ล้านถุง ก็เพราะมีเวียดนามเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ ขณะที่ราชากาแฟอย่างบราซิล การส่งออกกาแฟกลับลดลง และมีแนวโน้มอาจจะลงมากถึง 20% เพราะสภาพดินฟ้าอากาศ

กระทรวงการค้าของเวียดนามเปิดเผยว่าการส่งออกกาแฟปีนี้ ว่า มีแนวโน้มว่าจะถึง 900,000 ตัน เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 100,000 ตัน เพราะในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาขายไปแล้วกว่า 800,000 ตัน ทำรายได้เข้าประเทศไปกว่า 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือสูงขึ้น 44% จากปีก่อน

ตัวเลขดังกล่าว นับว่าทำลายสถิติการส่งออกกาแฟของเวียดนาม ในรอบ 30 ปี

แม้ปริมาณการส่งออกกาแฟของเวียดนามจะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่คอกาแฟทั้งหลายให้ความเห็นว่า ยังไม่อาจแซงหน้าบราซิลได้

นั่นเพราะคุณภาพกาแฟของเวียดนามยังไม่ดีเท่าที่ควร รสชาติของกาแฟก็ไม่ถูกใจบรรดาคอกาแฟตัวยงทั่วโลก ยังไม่นับเรื่องแผนการตลาด และช่องทางการจำหน่าย

สมาคมผู้ผลิตกาแฟและโกโก้ของเวียดนาม หรือ Vicofa ยอมรับจุดอ่อนข้อนี้ และกำลังใช้วิธีการต่างๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของสินค้า และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

กาแฟที่เวียดนามส่งไปยังต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นเมล็ดกาแฟดิบ ยังไม่ผ่านการแปรรูป ส่วนกาแฟที่แปรรูปนั้น เวียดนามยังไม่มีศักยภาพในการแข่งขันเท่าที่ควร เพราะต้นทุนในการโฆษณาและทำการตลาดค่อนข้างสูงในต่างประเทศ อีกทั้งการเจาะตลาดก็ยาก

ลำบาก เนื่องจากมีกำแพงภาษีที่หลายประเทศใช้ปกป้องสินค้าท้องถิ่น

การผลิตกาแฟสำเร็จรูป ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก มีเทคโนโลยีทันสมัย และมาตรฐานด้านคุณภาพที่ต่างประเทศต้องการก็ค่อนข้างสูงและเข้มงวด

ปัจจุบัน เวียดนามจึงมีผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปเพียง 2 รายเท่านั้น ซึ่งมีวิธีการผลิตกาแฟสำเร็จรูปได้ตรงตามมาตรฐานระหว่างประเทศ 2 รายที่ว่านี้ ได้แก่ บริษัทโรงงานกาแฟเบียนหว่า (Bien Hoa Coffee Factory) ซึ่งผลิตทั้งกาแฟสำเร็จรูปกับกาแฟคั่ว

นอกจากนั้นก็มีบริษัทเนสเล่ (Nestle) แต่สินค้าของ Nestle ก็ขายเฉพาะในเวียดนามเท่านั้น ผู้ผลิตกาแฟรายอื่นๆ ผลิตได้เฉพาะกาแฟคั่ว ส่งขายทั้งในและนอกประเทศ

การที่คุณภาพกาแฟของเวียดนามไม่ได้มาตรฐาน เนื่องมาจากวิธีการแปรรูปเมล็ดกาแฟในโรงงานที่ยังล้าสมัย ไม่ได้รับการปรับปรุง เพื่อยกระดับคุณภาพของสินค้า

Vicofa บอกว่า การจะทำให้กาแฟเวียดนามได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ ผู้ผลิตกาแฟในประเทศจะต้องเพิ่มคุณภาพสินค้าให้ได้ตามที่ประเทศผู้นำเข้าต้องการ ผู้ผลิตกาแฟควรปฏิบัติตามมาตรฐานการคัดเลือดกาแฟ การเพาะปลูก การดูแล ความสะอาด การเก็บเกี่ยว การตากแห้ง และการเก็บรักษา

ในด้านการตลาด เป็นหน้าที่ของภาครัฐและเอกชนที่จะต้องหาช่องทางการจำหน่ายในต่างประเทศ

กระทรวงการค้าเวียดนามกำลังวางแผนเร่งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ความรู้เกษตรกรผู้ผลิตกาแฟ และหาทางช่วยผู้ส่งออกกาแฟให้ขยายช่องทางตลาดได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็หาทางเจรจาการค้ากับต่างประเทศ

สำหรับภาคเอกชนนั้น เกษตรกรและผู้ส่งออกจะต้องจับมือกัน เปิดตัวเองเพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขายในต่างประเทศ

เกษตรกรจะต้องได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากรัฐ เพื่อนำไปใช้ในการขยายและปรับปรุงวิธีการปลูกกาแฟ นอกจากนี้ควรได้รับการละเว้นภาษี หากการเก็บเกี่ยวพืชผลตกต่ำ หรือเกิดวิกฤติด้านราคา

หีบห่อกาแฟก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งปัจจุบัน มีกาแฟเวียดนามจำนวนหนึ่งที่วางขายในตลาดต่างประเทศ ด้วยหีบห่อแบบเดิมๆ ทำให้ผู้บริโภคกาแฟต่างประเทศเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณภาพกาแฟเวียดนาม

ปัจจุบันมีผู้บริโภคกาแฟเวียดนามเกือบ 60 ประเทศทั่วโลก มีเยอรมนี และสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ที่สุด

และที่หมายของการขยายตลาดส่งออกกาแฟเวียดนามคือ ประเทศเพื่อนบ้านเอเชีย และยุโรปตะวันออก ซึ่งปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี.

แหล่งที่มา : manager.co.th
i-happy
เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา กาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนถูกโจมตีว่า ทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน
ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้หรือทารกน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน
แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟเพียงวันละ 1-2 ถ้วยนั้นปลอดภัย และอาจให้ผลดี ถ้าดื่มให้เป็น
มีรายงานผลการวิจัยจากฟินแลนด์และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงการเกิดเบาหวาน


ประเภท 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม ความเสี่ยงที่ลดลงเป็นสัดส่วนกับปริมาณกาแฟที่ดื่ม และกาแฟไร้คาเฟอีนให้ผลน้อยกว่า ส่วนชาไร้คาเฟอีนและเครื่องดื่มอื่นๆที่มีคาเฟอีนไม่ให้ผลเหมือนกาแฟ

นอกจากนี้กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสันลดอันตรายต่อตับ
ในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำและสำหรับนักกีฬาเพิ่มความทน
และความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน
เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2 - 3 ออนซ์ (60 - 90 มล.)
แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาทีและจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง
กว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

ของดีในกาแฟ
เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร
และไวน์แดงอีก ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระ
ในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากันขึ้นกับชนิดของกาแฟ

กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) มีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอีนมากกว่าพันธ์อราบิก้า (Arabicas) ถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจาก
วิธีการคั่วกาแฟ และปริมาณกาแฟที่ละลายแต่ละถ้วย รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาและปริมาณกาแฟที่ใช้ด้วย


ข้อควรระวังในกาแฟ
คอกาแฟอย่าเพิ่งย่ามใจกับข้อมูลด้านดีๆ เพราะองค์ประกอบหลักของกาแฟคือสารคาเฟอีน
ซึ่งเป็นสารกระตุ้น จึงมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจพอสมควร โดยทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
เพิ่มความดันโลหิต และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดคาเฟอีนช้า ทำให้
คาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดคาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

ส่วนผลของกาแฟต่อสุขภาพผู้หญิงก็ยังไม่มีผลวิจัยชัดเจน ว่าจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ซีสต์ในเต้านม
หรือกระดูกพรุนหรือไม่ การเดินสายกลางจึงดีที่สุด ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดคาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดคาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดคาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย นอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้วยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : อสมท.
i-happy

เรื่อง มนทิพย์ ร่าเริงวิจิตร นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลกรุงเทพ

Coffee break for health
คุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบกลิ่นหอมกรุ่นและรสชาติขมอร่อยของกาแฟหรือไม่...

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่แพร่หลายมากรองจากชา เป็นเครื่องดื่มที่พบได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง ทั้งในที่ทำงาน สถานที่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่ในระหว่างการเดินทางที่ต่างๆ ของโลก ในเมืองไทยเราก็มีร้านกาแฟในกรุงเทพและต่างจังหวัดจำนวนไม่น้อย มีตั้งแต่กาแฟไทยโบราณไปจนถึงกาแฟนำเข้าจากต่างประเทศ

กาแฟกับหัวใจ
จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2005 รายงานว่า หลอดเลือดของผู้ที่ดื่มกาแฟมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และในงานวิจัยฉบับนี้ยังได้แนะนำให้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือมีความเสี่ยงอื่นต่อการเกิดโรคหัวใจ (ไขมันในเลือดสูง อ้วน เบาหวาน สูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย) ที่ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 3 แก้ว ให้ลดปริมาณการดื่มลง

ในขณะที่งานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2006 รายงานว่า การดื่มกาแฟไม่ทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น แม้จะดื่มมากกว่าวันละ 6 แก้ว

ส่วนงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2006 รายงานว่า กาแฟอาจก่อให้เกิดอาการหัวใจพิบัติ (Heart attack) ได้ภายใน 1 ชั่วโมงหลังการดื่ม โดยพบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 - 3 แก้ว มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจพิบัติถึงร้อยละ 60

ส่วนผู้ที่ดื่มกาแฟน้อยกว่าวันละ 2 – 3 แก้วหรือดื่มเป็นครั้งคราว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจพิบัติหลังการดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่า ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องจากผู้ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำ ร่างกายอาจไม่ชินกับสภาวะที่หัวใจเต้นเร็วขึ้น และความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วคราวจากการได้รับสารคาเฟอีน จึงทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจพิบัติสูงกว่า

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป การดื่มกาแฟอาจเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดอาการหัวใจพิบัติได้มากขึ้นกว่า 2 เท่า ในขณะที่การศึกษาในหญิงวัยหมดประจำเดือนพบว่า อัตราการตายจากโรคหัวใจของผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 1 – 3 แก้ว น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟถึงร้อยละ 24 แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟและสุขภาพหัวใจยังมีความขัดแย้งกันอยู่ แต่สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาก็แนะนำเสริมว่า การดื่มกาแฟพอประมาณ(วันละ 1 – 2 แก้ว) ไม่น่าจะทำให้เกิดอันตราย

กาแฟกับเบาหวาน
การวิเคราะห์ข้อมูลจาก 8 งานวิจัยในปี 2005 ได้ข้อสรุปว่า ผู้ใหญ่ที่ดื่มกาแฟวันละ 6 – 7 แก้ว มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานลดลง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มวันละ 2 แก้ว และจากการศึกษาล่าสุดเมื่อปีที่แล้วพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 2 – 3 แก้ว มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานลดลงร้อยละ 13 ในขณะที่ผู้ที่ดื่มตั้งแต่วันละ 4 แก้วขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานลดลงมากกว่าร้อยละ 40 ซึ่งการค้นพบนี้เป็นที่ประหลาดใจของทีมนักวิจัย

เนื่องจากในการศึกษาเฉพาะสารสกัดคาเฟอีนพบว่า มีผลในการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลและลดการเผาผลาญน้ำตาล คาเฟอีนจึงน่าจะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานเพิ่มขึ้นมากกว่า ดังนั้นผลในการป้องกันเบาหวานน่าจะมาจากสารอื่นที่อยู่ในกาแฟ แต่อย่างไรก็ตามนักวิจัยยังไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการดื่มกาแฟเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน แต่แนะนำให้ป้องกันโรคนี้ด้วยการบริโภคธัญพืชที่ไม่ขัดสี เพิ่มการออกกำลังกาย และลดน้ำหนัก น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

กาแฟกับมะเร็ง
มีการศึกษาเกี่ยวกับการดื่มกาแฟกับโรคมะเร็งชนิดต่างๆ พบว่า
* การดื่มกาแฟเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนได้
* การดื่มกาแฟปริมาณมากขณะตั้งครรภ์ ทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว(ลูคีเมีย)
* การดื่มกาแฟเป็นประจำจะทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 – 70
* กาแฟช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้
* กาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

นอกจากนี้กาแฟยังมีผลต่อสุขภาพด้านอื่นๆ อีก เช่น ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน ช่วยระงับอาการซึมเศร้า ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง
โดยพบว่าคาเฟอีนเพียง 32 มิลลิกรัมช่วยกระตุ้นให้มีสมาธิและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 3 – 4 แก้วเป็นประจำ จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน

กาแฟมีมากมายหลายพันธุ์ มีวิธีการผลิตและวิธีการชงที่หลากหลาย จึงทำให้กาแฟมีกลิ่นและรสที่แตกต่างกัน ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟแต่ละพันธุ์ก็ไม่เท่ากัน
โดยกาแฟพันธุ์อาราบิก้าซึ่งปลูกมากในบราซิล มีคาเฟอีนประมาณร้อยละ 0.8–1.5 ส่วนพันธุ์โรบัสต้าจากแอฟริกา มีคาเฟอีนประมาณร้อยละ 1.6–2.5 นอกจากนี้วิธีการชงกาแฟที่ต่างกันก็มีผลต่อปริมาณสารประกอบต่างๆ ที่ได้รับจากกาแฟ การชงกาแฟโดยไม่ผ่านการกรองจะทำให้ได้รับสารคาเฟสทอล(cafestol) และคาเวออล(kahweol) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น และทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น

จากข้อมูลต่างๆ จะเห็นว่า กาแฟมีทั้งประโยชน์และโทษคละกันไป ซึ่งไม่ต่างจากทุกสิ่งในโลกนี้ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟควรดื่มอย่างพอเพียง คือไม่น้อยเกินไปเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางสุขภาพจากการดื่มกาแฟ และไม่มากเกินไปเพื่อป้องกันโทษจากกาแฟ ขอให้ทุกท่านมีความสุขและสุขภาพดีจากการจิบกาแฟที่หอมกรุ่น

ขอบคุณที่มาของบทความ นิตยสาร WOW FITNESS

i-happy

อัพเดทความรู้ใหม่ และสลัดความเชื่อเก่าที่ผิดๆ เรื่องกาแฟทิ้ง...เพราะมันให้คุณมากกว่าโทษ ถ้าคุณรู้จักดื่ม และนี่คือ 6 ข้อเท็จจริงที่เราเอามาบอก

1. ไม่จริง...ว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ถ้าคุณดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย

2. ไม่รู้ใช่ไหม... กาแฟช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

3. ต้องดื่มบ่อยๆ... สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

4. กาแฟดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร... เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ

5. ระวังไว้นิดก็ดี... องค์ประกอบหลักของกาแฟคือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดกาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

6. ดีแคฟ... ไม่ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

อะไรที่มากหรือน้อยเกินพอดีล้วนมีโทษทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ และรสชาติที่พอดี แล้วจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ
i-happy

น้ำชา-กาแฟเป็นแฟชั่นในการรับรองแขกตามสำนักงาน เราสังเกตเห็นตามร้านค้าจะมีคนนั่งจับกลุ่มคุยกัน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : จิบกาแฟไปพลางด้วยคุณสมบัติอันหอมกรุ่น รสชาติที่ขมแต่อร่อย และมีประสิทธิภาพช่วยสร้างความสดชื่นให้ผู้ดื่มได้ ทำให้น้ำชา กาแฟเป็น เครื่องดื่มสากลนานาชาติ แต่ทางการแพทย์พบว่า เครื่องดื่มประเภทน้ำชากาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์เพราะสารคาเฟอีน

ใน ชา กาแฟมีผลเสพติดอ่อนๆคือดื่มแล้วจะติด พอเวลาไม่ได้ดื่มจะหงุดหงิด มือสั่น ใจสั่น สารคาเฟอีนนี้มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ซึ่งนอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมของยาประเภท ลดไข้บรรเทาปวดอีกด้วย

ผู้ที่ได้รับคาเฟอีนมากเท่าไร ผลร้ายที่มีต่อร่างกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่นสมอง หัวใจ ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่างๆ และระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายจะใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมง ในการสลายคาเฟอีน

ถ้าร่างกายได้รับ คาเฟอีนจำนวนสูงประมาณ 3,000 - 10,000 มิลลิกรัม จะทำให้ตายในระยะอันสั้นได้ ถ้าเราดื่มกาแฟประมาณ 1/2 - 2 1/2 ถ้วย (50 - 200 มิลลิกรัม) ลดความเมื่อยล้าได้ประมาณครึ่งวัน หรือดื่มกาแฟขนาด 3 - 7 ถ้วย (200 - 500 มิลลิกรัม) ทำให้มือสั่น กระวนกระวายโกรธง่าย และปวดศรีษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือดคลายตัวหรือบีบรัดมากขึ้นเป็นบางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มลดอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายต่อผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ คาเฟอีนมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูงกรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีไขมัน ในเลือดสูง ฤทธิ์ของคาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตไม่ทำงาน

ผู้ที่ดื่มกาแฟ น้ำชา หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ รวมถึงการใช้ยาที่มีคาแฟอีนผสมอยู่รวมถึงการใช้ยาคาเฟอีนจนติดเป็นนิสัย จึงมีระดับคงทนต่อฤทธิ์คาเฟอีนสูงขึ้น โดยที่คาเฟอีนจะมีฤทธิ์ต่อร่างกายน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของประสาทตื่นตัว ปวดศีรษะ และปวดกระเพาะ ความทนทานนี้จะลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น การหยุดดื่มกาแฟจะมีผลทำให้ปวดศีรษะ กระวนกระวายโกรธง่าย และไม่สนใจ สิ่งแวดล้อม

สำหรับสตรีมีครรภ์นั้นไม่ควรดื่ม ชา กาแฟ โดยเด็ดขาด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคนเราควรได้รับคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับประมาณ 2 ถ้วย ( คือ กาแฟ 1 ถ้วย ใส่ผงกาแฟสำเร็จรูป 2 ช้อนชา น้ำประมาณ 1 ถ้วย) เวลาที่เหมาะสมจะดื่มชากาแฟนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน บางคนดื่มตอนเช้าเพื่อให้ลำไส้กระปรี้กระเปร่า ถ่ายสะดวก แต่จะทำให้หิวเร็วกว่าปกติ เพราะกาแฟจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยเพราะฉะนั้นไม่ควรดื่มกาแฟแทนอาหารเช้า และ หันมาดื่มนมแทนจะดีกว่า ถ้าคนที่นอนหลับยาก หรือมีภาระกิจต้องตื่นแต่เช้า ก็ไม่ควรดื่มกาแฟหลังอาหารเย็นวันนั้น จะเห็นว่ากาแฟนั้นมีทั้งผลดีผลร้ายกับร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้าม ก็อาจดื่มเป็นประจำทุกวันได้ แต่ต้องกำจัด ปริมาณให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

i-happy

โคลัมเบีย
ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า ผ่านกรรมวิธีในการล้างโดยวิธีแบบเปียก ปลูกในบริเวณเทือกเขาแอนดิส ผลผลิตออกตลอดปีเพราะความสูงเป็นกาแฟที่มี
คุณภาพ เนื่องจากปลูกบริเวณดินภูเขาไฟ อุณหภูมิเหมาะสมกับพันธุ์ที่ปลูก กาแฟที่มีชื่อ ได้แก่ เมดิลลิน(Medillin),โบโกต้า(Bogota) และที่มีชื่อที่สุดคือ ซูรีโม(Suremo) โคลัมเบียได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผลิตกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลก

บราซิล
ปลูกกาแฟอาราบิก้าพันธุ์ธรรมดา ผ่านการล้างด้วยวิธีแบบแห้ง เพาะปลูกบริเวณเชิงเขา มีต้นกาแฟมากกว่า 4 พันล้านต้น ผลผลิตเป็นอันดับหนึ่งของโลกและส่งออกขายทั่วโลก เนื่องจากผลผลิตมาก

เม็กซิโก
มีการปลูกกาแฟแบบ "ออแกนิค" คือโดยวิธีธรรมชาติและเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น กาแฟที่มีชื่อของเม็กซิโก คือ เวราครูซ(Veracruz)

จาไมก้า
กาแฟ"บลูเมาน์เท็น"เป็นกาแฟที่มีชื่อที่สุดของจาไมก้าและของโลก เป็นกาแฟพันธุ์อาราบิก้า ผ่านกระบวนการล้างโดยวิธีแบบเปียก

ประเทศไทย
ปลูกกาแฟทั้งอาราบิก้าและโรบัสต้า อาราบิก้าปลูกบริเวณ ภาคเหนือ ส่วนโรบัสต้าปลูกทางภาคใต้ เนื้อที่ในการปลูกมีประมาณ 4.1-4.5แสนไร่ ผลผลิตส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามากที่สุด รองลงมาคือ มาเลเซีย, เกาหลี, เยอรมันนี, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, อังกฤษ และอีกหลายประเทศใน ยุโรปและเอเชีย

ที่มาของบทความ http://www.geocities.com/kimsong26/index6.html
i-happy
ผลดี
ผลที่มีต่อถุงน้ำดี
จากการที่ทำการวิจัยโดยอาสาสมัครชาย 45,000คน ดื่มกาแฟวันละสองแก้วต่อวัน จะสามารถลดการเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ถึง 40% และถ้าดื่มวันละ สี่แก้วสามารถลดได้ถึง 45% เลยทีเดียว โดยกาแฟที่ดื่มเข้าไปนั้นจะเข้าไปป้องกันการตกตะกอนของคลอเรสเตอรอล ลดการดูดซึมของเหลวเพิ่ม การไหลของน้ำดีที่กรวยไต ซึ่งทั้งหมดเป็นสาเหตุของการยับยั้งการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

กาแฟกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ดิื่มกาแฟวันละสี่แก้ว จะสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 24% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลย เพราะกาแฟจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ผลิตสารที่มีผลยับยั้งการก่อตัวของเนื้อเยื่อที่กลายพันธุ์จากเซลล์ธรรมดากลายไปเป็นเซลล์มะเร็์ง และในกาแฟยังสามารถยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ในลำไส้อันเป็นต้นเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งอีกด้วย
อาการปวดศีรษะ
สารคาเฟอีนมีส่วนสำคัญที่สามรถบรรเทาอาการปวดต่างๆ ได้ แต่สารคาเฟอีนในกาแฟเพียงอย่างเดียวไม่สามารถที่จะยับยั้งอาการปวดหัวได้ แต่ถ้าคุณรับประทานพร้อมกับยาแก้ปวด ก็จะมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างรวดเร็วขึ้น

ผลเสีย
เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารและลำไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ไต ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่างๆ และระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายต้องใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมงในการสลายคาเฟอีนถ้าร่างกายไดรับคาเฟอีนจำนวนสูงประมาณ 3,000-10,000 มิลลิกรัมจะทำให้ตายในระยะเวลาอันสั้นได้
ถ้าเราดื่มกาแฟประมาณ 1/2-2 1/2 ถ้วย จะกระตุ้นประสาทให้ตื่น ลดความเหนื่อยล้าได้ประมาณครึ่งวัน หรือดื่มกาแฟขนาด3-7 ถ้วย ทำให้มือสั่น กระวนกระวาย โกรธง่ายและปวดศีรษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือด คือทำให้กล้ามเนื้อของหลอดเลือดคลายตัวหรือบีบรัดมากขึ้น
เป็นบางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มหรือลดอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายแก่ผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจที่ดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้ กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ
คาเฟอีนยังมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง กรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีไขมันในเลือดสูง ฤทธิ์ของคาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะจึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตไม่ทำงาน

จะเห็นได้ว่ากาแฟนั้นมีทั้งผลดีและผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้ามก็อาจดื่มเป็นประจำทุกวันได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
i-happy
นอกจากชื่อประเทศและถิ่นที่ปลูกจะถูกนำมาเป็นชื่อเรียกกาแฟแล้ว มีสาเหตุอีกหลายประการที่ถูกนำมาใช้ในการตั้งชื่อกาแฟ หรือจำแนกชนิดกาแฟ


1. กาแฟปราศจากคาเฟอีน การสกัดสารคาเฟอีนก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ผลิตนำมาตั้งเป็นยี่ห้อกาแฟ เพื่อตอบสนองลูกค้าที่ชอบดื่มกาแฟ
แต่ต้องการหลีกเลี่ยงสารคาเฟอีน เช่น กาแฟดีคาเฟอีนนาโต อินเทนโซ

2. กาแฟออแกนิค กาแฟที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ปัจจุบันกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากของตลาดที่ผู้บริโภคมีความห่วงใยในสุขภาพ
และสิ่งแวดล้อม

3. กาแฟที่ปลูกบนเขาสูง เป็นที่ยอมรับกันว่า กาแฟที่ปลูกบนเขาที่มีความสูงมากกว่า 4,000 ฟุตขึ้นไป จะมีรสชาติเฉพาะตัว
และเป็นกาแฟที่มีคุณภาพดี เช่น กาแฟยี่ห้อบลูเมาน์เท็นและ คีรีมานจาโร


4. กาแฟตามชื่อไร่เกิดจากเจ้าของไร่ค้นพบคุณภาพพิเศษของกาแฟที่ผลิตได้ในไร่ของเขาซึ่งอาจจะเกิดขึ้นโดยการคัดเลือกพันธุ์บริเวณเพาะปลูก
การคั่วการผสมกลิ่นระหว่างคั่วซึ่งแต่ละไร่ก็จะเก็บรักษาความลับของตัวเองกาแฟทีมีคุณสมบัติพิเศษนี้จะมีราคาแพงและมีจำหน่ายเฉพาะที่เท่านั้น

ขอบคุณที่มา http://www.geocities.com/kimsong26/index4.html
i-happy
พันธุ์กาแฟ


กาแฟ เป็นพืชที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "คอฟเฟีย(Coffea)" มีสายพันธุ์มากกว่า 6,000 สายพันธุ์ แต่มีเพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้นที่ได้รับความนิยมและนำมาขยายพัธุ์เพื่อการค้า คือ



1. พันธุ์อาราบิก้า (Arabica)
กาแฟพันธุ์นี้นิยมปลูกกันมากที่สุดในโลก โดยมีผลผลิตถึง 90% ของปริมาณกาแฟที่ผลิตได้ทั้งหมดทั่วโลก มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมแถบบริเวณประเทศเอธิโอเปีย
เมล็ดมีคุณภาพสูงทั้งกลิ่นและรสชาติ



2. พันธุ์โรบัสต้า (Robusta)
เป็นกาแฟพันธุ์ไม่ค่อยดีนัก นิยมเอามาทำกาแฟสำเร็จรูป หรือนำไปผสมกับพันธุ์อื่นๆ มีผลผลิตค่อนข้างสูงกว่าพันธุ์อาราบิก้าเล็กน้อย มีปริมาณการผลิตประมาณ 1 ใน 4 ของปริมาณกาแฟที่ผลิตได้ทั้งหมดทั่วโลก

i-happy
กาแฟจะมีรสดีหรือไม่ดีเพียงใดนอกจากการคัดเลือกเมล็ดกาแฟแล้วยังมีปัจจัยอื่นๆที่สำคัญอีกดังนี้

น้ำ ส่วนประกอบสำคัญที่สุดของกาแฟ ต้องเป็นน้ำที่บริสุทธ์ ผ่านการกรองมาแล้ว ไม่มีกลิ่นเจือปน แต่ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำกลั่น โดยใช้น้ำร้อน ประมาณ 92-96 องศาเซลเซียส

การบด กาแฟต้องบดที่เหมาะสม ไม่ละเอียดหรือหยาบเกินไป การบดยังขึ้นอยู่กับการอัดกาแฟด้วย โดยการบดและอัดที่ดี กาแฟจะต้องชงเสร็จ 1 ช็อท ประมาณ 20 วินาที หากใช้เวลานานกว่านั้นแสดงว่ากาแฟบดละเอียดเกินไป หากชงเสร็จเร็วกว่านั้นก็แสดงว่ากาแฟบดหยาบเกินไป และควรบดกาแฟให้พอดี โดยบดเฉพาะชงแก้วต่อแก้วเท่านั้น

การคั่ว ควรเลือกกาแฟที่คั่วเสร็จใหม่ๆ ถ้าไม่สามารถคั่วเองได้ ก็ควรจะใช้กาแฟที่คั่วแล้วหลังจากเปิดถุงให้หมดภายใน หนึ่งอาทิตย์ หากเปิดถึงแล้วนานกว่านั้นกลิ่นของกาแฟจะหายไป และควรจะเก็บกาแฟในที่มีฝาปิดมิดชิด หากเปิดถึงแล้วก็ไม่ควรเก็บในตู้เย็น หากถุงยังปิดอยู่ก็สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้

ปริมาณกาแฟ ให้ใช้ปริมาณ 10 กรัมต่อน้ำ 180 มิลลิลิตร
ส่วนกาแฟที่ตามร้านค้าจะนำมาชงขายในร้านนั้นโดยมากแล้วจะมีอยู่ 2 แบบ

สเตรทคอฟฟี่ [Straight Coffee]
เป็นกาแฟ อาราบิก้า ทั้งหมดไม่ผสมกับกาแฟอย่างอื่น จะให้รสชาติที่กลมกล่อม ให้ความรู้สึกที่ดี

คอฟฟี่เบลนด์ [Coffee Blend]
เป็นกาแฟอาราบิก้า ผสมกับ กาแฟโรบัสต้า ซึ่งจะทำให้มีกลิ่นที่หอมมากกว่า ซึ่งแต่ละร้านก็มีสูตรของตัวเองที่ต่างกันออกไป


ที่มาของบทความ http://www.mint152.com
i-happy
กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกาแฟคั่วซึ่งได้จากต้นกาแฟ นิยมดื่มร้อนๆ แต่สามารถดื่มแบบเย็นได้ด้วย บางครั้งนิยมใส่นมหรือครีมลงในกาแฟด้วย ในกาแฟหนึ่งถ้วยมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 80-140 มิลลิกรัม กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับชาและน้ำ นอกจากนี้ กาแฟยังเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีการส่งออกมากเป็นอันดับที่หกของโลก กาแฟ

เอสเปรสโซ (Espresso)

ส่วนผสม
1. กาแฟคั่วบดแบบละเอียดที่สุด 6-7 กรัม
2. เวลาที่น้ำร้อนไหลผ่านเครื่อง 8-12 วินาที
3. ปริมาณกาแฟ 1-1.5 ออนซ์
4. ขนาดถ้วย 2-3 ออนซ์

วิธีชง

ใส่กาแฟบดลงไปในภาชนะ และเมื่อกาแฟหลออกมาตามปริมาณที่ต้องการ ให้ยกออกหรือให้เครื่องหยุดทำงานทันที ปริมาณกาแฟที่ได้จะอยู่ที่1/2ถ้วย หรือประมาณ 1-1.5 ออนซ์ ไม่ให้เกินกว่านี้ และมีฟองสีทองประมาณ 1 ช้อนชาลอยอยู่ข้างบน เมื่อชงเสร็จจะต้องเสิร์ฟทันที

กาแฟคาปูชิโน (Cappuccino)

ส่วนผสม
1. กาแฟบดละเอียด
2. นมสด 100%
3. น้ำตาลหรือน้ำเชื่อม
4. ผงช็อกโกแลตหรือผงอบเชย
5. ขนาดถ้วย 4-6 ออนซ์

วิธีชง

ชงกาแฟ 2/3ถ้วย เทนมสดใส่ถ้วยปนะมาณ 3 ออนซ์ นำไปอุ่นให้ร้อนพอสมควรประมาณ 60'c นำเครื่องทำฟองตีนมให้เกิดฟองใช้เวลาประมาณ 8-10 วินาที แลใช้ช้อนตักฟองนมโรยหน้ากาแฟให้ถึงขอบแก้ว และโรยด้วยผงช็อกโกแลตหรือผงอบเชย ยกเสิร์ฟพร้อมน้ำตาล

กาแฟม็อคคา (Coffee Mocha)

ส่วนผสม
1. กาแฟดำร้อน 2/3 ถ้วย
2. นมสดร้อนผสมช็อกโกแลต 1/3 ถ้วย
3. ผงช็อกโกแลตพอประมาณ
4. ช็อกโกแลตไซรป หรือน้ำเชื่อมรสช็อกโกแลต
5. ขนาดถ้วย 4-6 ออนซ์

วิธีชง

ผสมน้ำเชื่อมในกาแฟร้อน อุ่นนมสดให้ร้อนพอประมาณ แล้วใช้เครื่องตีนมให้ขึ้นฟอง เทนมร้อนลงไปในถ้วยกาแฟใช้ช้อนกันไว้อย่าให้ฟองนม ปนลงไปในขณะเท ปิดหน้าด้วยฟองนม และโรยหน้าด้วยผงช็อกโกแลต

กาแฟไอริช (Irish Coffee)

ส่วนผสม
1. ไอริชวิสกี้ 1-2 ออนซ์
2. น้ำตาล 1-2 ช้อนชา
3. เอสเปรสโซ 1.5-2 ออนซ์
4. วิปครีม 0.5 ช้อนโต๊ะ
5. ขนาดถ้วย 4-6 ออนซ์

วิธีชง

อุ่นถ้วยให้ร้อนด้วยน้ำร้อน เอาไอริชวิสกี้และน้ำตาลเทลงไปในถ้วย เทกาแฟเอสเปรสโซลงไป และคนให้น้ำตาลละลายเข้ากัน ตักครีมโรยหน้ายกเสิร์ฟ

กาแฟโบราณ

ส่วนผสม
1. กาแฟชนิดกากพอประมาณ
2. นมข้น 2 ช้อนโต๊ะ
3. นมสดจืด 2 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำครึ่งแก้ว

คาเฟ่ ลาตเต้

ส่วนผสม:
- กาแฟเอสเพรสโซ
- นมร้อน
- ฟองนมพอประมาณ

วิธีทำ:
ใช้กาแฟเอสเพรสโซเป็นฐาน กาแฟจะเจือจางด้วยนมร้อน จากนั้นโรยหน้าด้วยฟองนม นำกาแฟชนิดกาก ใส่น้ำร้อนกรองเอาแต่น้ำ เทนมข้นและนมสดใส่น้ำครึ่งแก้ว


แหล่งอ้างอิง: www.geocities.com/kimsong26/index7
i-happy
กาแฟจากแหล่งกำเนิด (Single Origin Test)

เป็นการดื่มกาแฟเพื่อลิ้มรสชาติกาแฟธรรมชาติจากถิ่นกำเนิดการแฟแท้
เช่น บลูเมาเท่น จาก จาไมก้า การชงใช้ผงกาแฟคั่วบดผ่านน้ำร้อน
ไม่ใส่นม น้ำตาล ครีม เรียกว่ากาแฟดำ (Black coffee)
เอสเปรสโซ (Espresso)
เอสเปรสโซเป็นกาแฟพื้นฐานของกาแฟชนิดอื่นๆ
กาแฟชนิดอื่นๆทุกอย่างต้องมาจากเอสเปรสโซทั้งนั้น
เอสเปรสโซประกอบด้วย
กาแฟเข้มข้น 1.5-2.0 ออนซ์(การดื่มเอสเปรสโซที่ถูกต้อง ต้องดื่มทีเดียวหมด)


กาแฟปรุงแต่ง (Coffee Drink Menu) เป็นเครื่องดื่มกาแฟชนิดต่างๆ
ที่มีการนำกาแฟมาเข้าสูตรกับส่วนผสมต่างๆ
เช่น ครีม นม ช็อคโกแลต น้ำเชื่อม ผลไม้ สุราบางชนิด
ทำให้เกิดรสชาติต่างๆ เช่น


คาปูชิโน่ (Cappuccino)
ประกอบด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่ 1 shot
นมร้อน ( ราว 150-170 องศาเซลเซียส )
และนมที่เป่าจนเป็นฟอง (Foamed Milk) อย่างละหนึ่งส่วน
โดยฟองนมอยู่บนสุดโรยผงโกโก้หรือผงอบเชยเล็กน้อย
ลักษณะของฟองที่พูนเป็นยอดอยู่บนปากถ้วยเป็นที่มาของชื่อคาปูชิโน่
เพราะดูแลเหมือนส่วนของจีวรที่พับมาคลุมศีรษะ
เป็นหมวกของพระคาปูชิน ในนิกายโรมันคาทอลิค

คาเฟ่มอคค่า (Caffe Mocha)
ประกอบด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่
นมร้อนและน้ำเชื่อมช็อคโกแลตหรือช็อคโกแลตร้อน อย่างละ 1 shot
ราดด้วยวีปครีมแล้วโรยด้วยผงซ็อคโกแลตก็ได้
คำว่า Mocha หมายถึงช็อคโกแลต

คาเฟลาเต้ (Caffe Latte) คือกาแฟผสมนม
ประกอบด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่ 1 shot
กับนมอุ่นร้อนจากไอน้ำ 2 ส่วน เติมรสชาติด้วยน้ำตาล
คำว่า Latte ในภาษาอิตาเลี่ยน หมายถึง นม
โดยทั่วไปใช้กับเครื่องดื่มผสมกาแฟและนม
เป็นกาแฟของผู้ที่นิยมรสชาติที่ไม่เข้มมากนัก

คาเฟ่เมริกาโน่ (Caffe Americano)
คือกาแฟเอสเพรสโซ่ 1 shot
เติมน้ำร้อนจนเต็มถ้วยกาแฟขนาดปกติหรือใหญ่กว่า
อเมริกาโนคือกาแฟเอสเปรสโซ ที่เจือจางลงด้วยปริมาณน้ำ
โดยเติมปริมาณน้ำร้อนลงในกาแฟเอสเปรสโซให้มีปริมาณเต็มถ้วย
กาแฟชนิดนี้นิยมดื่มกันในประเทศสหรัฐอเมริกา



เอสเพรสโซมอคดิอาโต้ (Espresso Macchiato)
คือเอสเพรสโซ่ 1 shot
เติมด้วยฟองนมอัตราประมาณ 15 มิลลิลิตรต่อ 1 ช้อนโต๊ะของฟองนม

เอสเพรสโซ่คอนอนานญา (Expresso Con Panna)
คือเอสเพรสโซ่ 1 shot
แต่งหน้าด้วยวิปครีม

เอสเพรสโซ่คอร์เรตโต (Exresso corretto)
คือกาแฟเอสเพรสโซ่ฉาบด้วยเครื่องดื่มแอลกฮอล์

แคฟเฟ รอแยล (Coffe royale)
คือ กาแฟดำหนึ่งถ้วย นำน้ำตาลก้อนวางลงบนช้อนกาแฟ
ถือไว้เหนือถ้วยกาแฟ เทเหล้าเบอร์เบิ้นลง 1 ออนซ์บนน้ำตาล
ให้เหล้าลงไปในกาแฟ จุดไฟบนน้ำตาลจนไหม้หมด
คนกาแฟให้เข้ากัน

กาแฟโซดา (Coffee Soda)
เติมน้ำแข็งลงในแก้ว เทกาแฟครึ่งถ้วยใส่โซดา
หรือโคลาลงหนึ่งในสี่ถ้วย ประดับด้วยมะนาวฝาน

กาแฟโบราณ
ถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่นิยม
กาแฟไทยคั่วแก่เข้ม เมื่อนำมาชงน้ำร้อนผ่านกาแฟในถุงชง
เติมน้ำตาลและน้ำแข็งเป็นโอเลี้ยงรสชาติเข้มข้น
แต่เมื่อนำกาแฟดำร้อนเติมนมข้นหวาน
เป็นกาแฟเรียกว่า โกปี้หรือโอยัวะรสชาติเข้มข้น ทั้งขม หวานมัน
ในแถบภาคใต้นิยมดื่มเป็นอาหารเช้ากับขนมหวาน
กาแฟดำผสมนมข้นหวาน เติมน้ำแข็งดื่ม ราดด้วยนมสด
จะได้กาแฟเย็นรสชาติหวานเย็นชื่นใจ เรียกว่า กาแฟเย็น

ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก http://www.uttaradit.go.th/KM/coffee/20.htm
และ http://www.thaihomemaster.com
i-happy
สูตรเครื่องดื่มที่คุณลองทำเองได้
คาปูชิโน่คาลาเมล cappuccino caramel

กาแฟเอสเปรสโซ่ 2 ชอท
น้ำเชื่อม 1.5ออนซ์
คาราเมลซอส 1/2 ออนซ์
ฟองนมทำให้เย็นด้วยที่ตีฟองนมมือ
(ใช้นมสดเมจิ2.5ออนซ์)
น้ำเชื่อมกลินคาราเมลโทรานี่ช้อนโต๊ะวิธีทำ ชงนมผงเด้กกับกาแฟ น้ำเชื่อมกลิ่นคาราเมลเข้าด้วยกัน
เตรียมแก้วขนาด 20ออนซ์ ใส่ซอสคาราเมลไปที่แก้วก่อนเติมน้ำแข็งบด
เทกาแฟที่ผสมไว้ เติมนมสดกับฟองนมพร้อมเสริ์พ โรยด้วยผงอบเชย

Ice Fresh coffee

กาแฟเอสเปรสโซ่ 2ชอท(ใช้แบบคั่วเข้ม)
น้าเชื่อม 1.5ออนซ์
นมข้นจืดตราเหยี่ยว 1ช้อนโต๊ะ
นมข้นหวาน 1ช้อนโต๊ะวิธีทำ ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
แก้ว16ออนซ์ น้ำแข็งบด
เติมกาแฟที่ผสมไว้แล้วลงไป ราดด้วย นมสด 1 ออนซ์
แต่งด้วยวิปปิ้งครีม

……………………………………………………………………………………………………….


Faiz cafe noir coconut milk

กาแฟเอสเฟรสโซ่ 2 ชอท
นมสดกับครีมกะทิเป่าฟองร้อน
นมสด 1.5ออนซ์ กะที 1ออนซ์
น้ำเชื่อม 1/2ออนซ์วิธีทำ อุ่นแก้วให้ร้อน
เป่าฟองนมกะทิ
เติมน้ำเชื่มอลงไปในแก้ว แล้วกลั่นกาแฟไป 2ซอท(หรือ ทำครั่งเดียวให้ได้ 2ออนซ์) ต่างจากเย็นที่ใช้ความเข้มต่างกัน
ได้กาแฟแล้วเติมฟองนมกะทิ โรยด้วยผงอบเชยหรือช็อคโกเล็ต
เสริ์ฟร้อน
…………………………………………………………………………………………………………………………………….


กาแฟสดปั่น

กาแฟเอสเปรสโซ่คั่วเข้ม 2 ชอท

นมข้นหวาน 1.5 ออนซ์

น้ำเชื่อม 1ออนซ์

นมข้นจืด 1ออนซ์

น้ำแข็งบด 1แก้ว 18 ออนซ์(ใช้แก้วตามขนาดที่จะเสริ์ฟตวง)

ปั่นด้วยความเร็วระดับ3 (เครื่องปั่น 500-550วัตต์) สามารถปั่นให้เนียนได้

พร้อมเสริ์ฟ…….

ขอบคุณที่มาของบทความ http://lekafedesign2decide2008.bloggoo.com/
i-happy

สูตรการชงกาแฟต่างๆ และเรื่องราวของกาแฟแต่ละแก้ว

Macchiato สื่อถึงความหมายที่บอกถึงบางสิ่ง “มีจุด” ที่อยู่ใน Espresso ที่เป็นจุดที่จากฟองนมนั่นเอง ตั้งแต่แรกเห็น Macchiato จะมีลักษณะที่คล้ายกับ Cappuccino แก้วเล็ก แม้ว่าส่วนผสมที่ใช้ในการทำจะเหมือนกัน แต่สำหรับ Macchiato จะมีกลิ่นและรสชาติที่เข้มข้นมากกว่า

ส่วนผสมในการทำ Macchiato

นม เศษหนึ่งส่วนสิบลิตร
เมล็ดกาแฟ
น้ำตาล และ/หรือ ผงโก้โก้ (ขึ้นอยู่กับรสชาติที่คุณต้องการ)
การทำ Espresso (ปริมาตรประมาณ 70 มิลลิลิตร)

การเตรียม

ใส่ฟองนมลงในถ้วยกาแฟ espresso
วางแก้วกาแฟใต้ท่อจ่ายกาแฟ และกดปุ่มเลือก espresso
โปรยด้วยผงโก้โก้ เพื่อการตกแต่งที่สวยงาม
Caffè Latte เป็นกาแฟที่แตกต่างออกไปด้วยวิธีการเติมนม และ Caffè Latte ที่ดีคือ espresso หลังจากนั้นใส่นมร้อนบน espresso และผลลัพธ์ที่ได้คือฟองนมอันน้อยนิดที่ทำให้ Caffè Latte เป็นกาแฟที่น่าชวนมองอย่างยิ่ง Caffè Latte จะถูกเสิร์ฟด้วยการใช้แก้วที่มีขนาดใหญ่กว่าแก้วที่ใช้ในการทำ Cappuccino

ส่วนผสมในการทำ Caffè Latte

นม (ประมาณ เศษ1.5 ส่วนสิบ)
เมล็ดกาแฟ
น้ำตาล (เพื่อเพิ่มรสชาติ)
แก้วกาแฟ (ปริมาตรประมาณ 160 มิลลิลิตร)

การเตรียม

ใช้นมที่ให้ความร้อน ¾ แก้ว (ไม่เหมือนกับการทำครีมฟอง เพราะนมจะถูกผสมด้วยการใช้อากาศให้น้อยที่สุด)
วางแก้วกาแฟใต้ช่องปล่อยกาแฟ และกดปุ่มเลือกการทำ espresso
Cappuccino

ต้นตำรับการทำกาแฟสไตล์อิตาเลียน ประกอบด้วย Espresso ปริมาณ 1/3 นมร้อน และครีมนมที่ทำให้กาแฟดูน่าดื่มมากขึ้น และแต่งแต้มด้วยการเติมผลโก้โก้อีกนิดหน่อย

ส่วนผสมในการทำ Cappuccino

นม เศษหนึ่งส่วนสิบลิตร
เมล็ดกาแฟ
ผงโก้โก้
น้ำตาล (เพื่อเพิ่มรสชาติ)
ถ้วยกาแฟสำหรับ Cappuccino (ปริมาตรโดยประมาณ 140 มิลลิลิตร)

การเตรียม

การให้ความร้อนแก่ฟองนมหรือนม เพื่อเริ่มให้อากาศได้เข้าไปในนมได้เพียงนิดหน่อย เป็นเพียงการทำให้นมมีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ถ้าคุณต้องการฟองครีมมากขึ้น คุณอาจจะทิ้งไว้นานขึ้นก็ได้
วางแก้วกาแฟใต้ท่อจ่ายกาแฟ และกดปุ่มสั่งให้มีการจ่ายกาแฟ espresso
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต google
i-happy
ถ้าจะกล่าวถึงตำนานเรื่องกาแฟมีอยู่มากมาย แม้กระทั่งในพระคัมภีร์ฉบับเก่า (Old Testament) มีกล่าวถึงเมล็ดกาแฟในตะวันออกกลาง ตำนานเรื่องคนเลี้ยงแพะ ชื่อกาลดี้ (Kaldi) พบว่า แพะมีอาการตื่นเต้นผิดปกติ จึงได้ตามฝูงแพะขึ้นไปบนภูเขา เขาเห็นแพะตัวผู้กำลังแทะเมล็ดกาแฟสีแดงจากกิ่งกาแฟอยู่ จากนั้นฝูงแพะก็พากันกระโดดโลดเต้น เขาจึงลองเก็บเมล็ดกาแฟสุกมากินดู ปรากฏว่ามีรสชาติเย็น ทำให้สดชื่น ตั้งแต่นั้นมา เมื่อฝูงแพะไปกินเมล็ดกาแฟ เขาก็ไปกินด้วย เมื่อกินเสร็จแล้วเขาก็กระโดดโลดเต้นอยู่กับฝูงแพะนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง โต๊ะอิหม่าม (Imam) เห็นทั้งคนและแพะกระโดดโลดเต้นอยู่ จึงเข้าไปถามกาลดี้ เมื่อทราบเรื่องจึงเดินทางไปยังภูเขานั้นและเก็บผลกาแฟมากิน ทำให้ไม่ง่วง โต๊ะอิหม่ามถือว่าการสวดมนต์อ้อนวอนพระอัลเลาะห์ดีกว่านอนหลับ ดังนั้น การดื่มกาแฟจึงแพร่หลายอยู่ในหมู่โต๊ะอิหม่ามอยู่เป็นเวลานาน กาแฟจึงได้ชื่อว่า คาห์วาห์ (Qahwah) หมายถึง การกระตุ้น ทำให้สดชื่น คำว่า คาห์วาห์ แปลว่า ไวน์ แต่เครื่องดื่มไวน์เป็นของต้องห้ามในศาสนา กาแฟจึงได้ชื่อว่า ไวน์แห่งอาหรับ (Wine of Araby) ต่อมามีเรื่องราวอีกมากมายเรื่องกาแฟกับพระในศาสนาอิสลาม


การแพร่กระจายของกาแฟจากเอธิโอเปีย มาสู่ตะวันออกกลาง มีหลายทาง ชีค (Sheikh) ได้รายงานในปี พ.ศ.2109 โดยให้เครดินกับดมาเลดดินอาบูเอลฟลาเกอร์ (Djmaled dinabou Elflager) นำกาแฟมาจากอบิสซีเนีย มาปลูกไว้ในอะราเบีย (Arabia) ในต้นศตวรรษที่ 15

ชาวดัทช์เป็นพวกแรกที่นำกาแฟอะราเบีย (ที่มาของกาแฟพันธุ์อราบิก้า) ไปปลูกในแหล่งอื่นๆ ของโลก ในปี พ.ศ. 2159 ได้นำกาแฟจากเมืองโมคา (Mocha) ไปปลูกที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2201 ชาวดัทช์ได้ทำสวนกาแฟขึ้นที่อาณานิคมเกาะศรีลังกา ในปี พ.ศ. 2233 ข้าหลวงใหญ่ของดัทช์อิสต์ ชื่อ นิโคลาส วิทเซน (Nicholas Witsen) ได้แนะนำให้ข้าหลวงใหญ่แห่งปัตตาเวีย นำเมล็ดกาแฟมาปลูกที่ปัตตาเวีย อินโดนีเซีย ในปี พ.ศ. 2241 เจ้าเมืองแห่งอัมสเตอร์ดัม (Burgomaster of Amsterdam) ได้ส่งต้นกาแฟมาจากเมืองมาลาบาร์ (Malabar) ไปปลูกที่ฝั่งตะวันตกของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งต้นกาแฟเหล่านี้ คือ กาแฟอราบิก้าที่ได้นำเมล็ดมาจากอาหรับปลูกไว้ที่สวนกาแฟเคดาเวียง (Kedawoeng Estate) ทั้งหมด ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวและน้ำท่วมต้นกาแฟที่นำมาปลูกตายหมด ชวาดรุณ (Zwaardkron) ได้ถูกส่งไปยังลาบาร์ ในปี พ.ศ. 2242 เพื่อนำเมล็ดกาแฟมาปลูกที่ปัตตาเวียอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาได้ขยายไปทั่วอินโดนีเซีย เช่น สุมาตรา ชุลลาเวสี (ซีลีเบสเดิม) บาหลี ติมอร์ และเกาะอื่นๆ กาแฟอราบิก้าพันธุ์นี้ภายหลังได้ชื่อว่า กาแฟอราบิก้าพันธุ์ ทิปิก้า (Coffee Arabica var. Typica)

ในปี พ.ศ. 2251 เรือฝรั่งเศส 2 ลำ ได้ถูกส่งไปยังเมืองโมคา เพื่อซื้อกล้าพันธุ์กาแฟและเมล็ดกาแฟจากชีคชาวอาหรับไปปลูกที่เมืองเบอร์บอน (Bourbon) ในเกาะรียูเนียน (Reunion) ของฝรั่งเศส แต่ต้นกาแฟตายหมด ในปี พ.ศ.2258 ก็ได้ส่งเรือไปซื้อเมล็ดกาแฟไปปลูกที่เกาะรียูเนียนอีก แต่การปลูกกาแฟที่เกาะรียูเนียนประสบความล้มเหลวคงเหลือกาแฟที่มีชีวิตรอดอยู่เพียง 2 ต้นเท่านั้น ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2261 ได้นำเมล็ดกาแฟจากเมืองโมคาไปปลูกไว้ที่เกาะรียูเนียนอีกครั้ง คราวนี้ประสบผลสำเร็จอย่างดี ต่อมาจึงขยายเป็นสวนกาแฟที่กว้างใหญ่ปลูกกันแพร่หลายเป็นที่รู้จักกันในนาม กาแฟอราบิก้าพันธุ์เบอร์บอน (Coffee Arabica var. Bourbon)
กาแฟในประเทศอินเดีย เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2143-2238 นักแสวงบุญชาวมุสลิม ชื่อ บาบา บูดาน (Baba Budan) เดินทางไปทำฮัจจีที่เมืองเม็กกะ ขากลับได้นำเมล็ดกาแฟจากเม็กกะมาปลูกไว้ที่เชิงเขาใกล้บ้านที่เมืองชิคมากาลอร์ (Chikmagalur) ในรัฐไมซอร์ (Mysor) ต่อมาได้ขยายพันธุ์ออกไปอย่างกว้างขวาง ระยะหลังเมื่ออังกฤษเข้าครอบครองประเทศอินเดีย ชาวอังกฤษได้ทำสวนกาแฟใหญ่โตขึ้นที่เมืองชิคมากาลอร์และเมืองคุก (Coorg) สวนกาแฟได้กระจายไปยังแถบภูเขานิลคีรีของรัฐทมิฬนาดู ซึ่งต่อมา กาแฟอราบิก้าพันธุ์นี้จึงมีชื่อว่า คุก (Coorg)

ประเทศแรกในอาณานิคมของฝรั่งเศสที่ปลูกกาแฟ คือ มาร์ตินิค (Martinique) และเมล็ดกาแฟจากมาร์ตินิคเป็นศูนย์กลางที่นำไปปลูกเผยแพร่แก่แหล่งปลูกกาแฟต่างๆ เกือบทั่วโลก เช่น นำไปปลูกที่ภูเขา บลู เมาเทน (Blue Mountain) เกาะจาไมก้า ซึ่งเป็นภูเขาสูง อากาศหนาวเย็น ทำให้กาแฟที่ปลูกมีรสชาติดีเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก จึงได้ชื่อตามสถานที่ปลูกว่า “บลูเมาเทน เคเมอร์” (Blue Mountain Cramer) เมื่อนำไปปลูกขยายพันธุ์ที่เมืองเบเร็มและพาราของบราซิล อีก 100 ปีต่อมา บราซิลกลายเป็นประเทศที่ปลูกกาแฟมากที่สุดในโลกและสามารถควบคุมตลาดของกาแฟไว้อย่างสมบูรณ์ ต่อมากาแฟอราบิก้าพันธุ์นี้ได้แพร่ขยายเข้าสู่ประเทศในแถบอเมริกากลางตลอดจนถึงอเมริกาใต้ชั่วเวลาไม่ถึงศตวรรษ และถูกเรียกว่า Franch Mission
ขอบคุณที่มาของบทความ http://www.purichawon.com/_HistofCofeT/index.asp
i-happy
กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของโลกชนิดหนึ่ง เกษตรกรชาวไทยปลูกกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจทั้งภาคเหนือและภาคใต้ โดยภาคเหนือปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้า (Arabica) และภาคใต้ปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta)

ประวัติกาแฟพันธุ์อราบิก้าในประเทศไทย ตามบันทึกของพระสารศาสตร์พลขันธุ์ (นายเจริณี ชาวอิตาเลียน) ในปี พ.ศ. 2454 ได้ระบุว่า กาแฟเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้มีการทดลองปลูกกาแฟอราบิก้าในฐานะพืชเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 โดยครั้งแรกได้นำไปปลูกไว้ที่จังหวัดจันทบุรี จึงมีชื่อเรียกว่า กาแฟจันทบูร ส่วนกาแฟพันธุ์โรบัสต้า คนไทยคนแรกที่นำมาปลูกในภาคใต้ของไทย ชื่อ นายคิหมุน นำมาปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2447 ที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และมีการแพร่หลายในฐานะพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยมีแหล่งปลูกสำคัญร้อยละ 90 อยู่ทางภาคใต้ ที่จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี เป็นต้น โดยพันธุ์ที่นิยมปลูกทางภาคใต้ คือ พันธุ์โรบัสต้า ในขณะที่ทางภาคเหนือแหล่งปลูกสำคัญอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน โดยนิยมปลูกพันธุ์อราบิก้า

ในปี พ.ศ. 2500 นายสมบูรณ์ ณ ถลาง อดีตผู้อำนวยการกองการยาง กรมกสิกรรม (กรมวิชาการเกษตรในปัจจุบัน) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้นำเมล็ดกาแฟอราบิก้าจำนวน 4 สายพันธุ์ คือ ทิปิก้า (Typica), เบอร์บอน (Bourbon), แคททูรา (Caturra) และมุนดู นูวู (Mundo Novo) จากประเทศบราซิลมายังประเทศไทย โดยปลูกไว้ที่สถานีทดลองพืชสวนมูเซอ จ.ตาก สถานีทดลองพืชไร่แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ และสถานีทดลองพืชสวนฝาง จ.เชียงใหม่ เมล็ดกาแฟจากสถานทดลองทั้งสามแห่งนี้ได้แพร่กระจายไปสู่เกษตรกรชาวไทยภูเขาและพื้นราบ ซึ่งปลูกกันอย่างแพร่หลาย ต่อมาต้นกาแฟอราบิก้าเหล่านี้ได้เกิดเป็นโรคราสนิม สาเหตุจาก เชื้อรา Hem ileia vastatrix ทำให้ต้นโทรม ผลผลิตต่ำมาก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2516 นักวิชาการโรคพืชจากกองวิจัยโรคพืช กรมวิชาการเกษตรได้ทำการสำรวจการแพร่ระบาดและความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้นกับกาแฟโรบัสต้าและกาแฟอราบิก้าในภาคใต้และภาคเหนือของประเทศ พบว่า กาแฟโรบัสต้าในภาคใต้ได้รับความเสียหายจากโรคราสนิมน้อยมาก เกิดขึ้นเฉพาะกาแฟอราบิก้าในภาคเหนือที่ปลูกบนภูเขาของจังหวัดตาก เชียงใหม่ เชียงราย (อ.แม่สาย) ลำปาง และน่าน ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งสายพันธุ์ ทิปิก้า เบอร์บอน และแคททูรา ทำให้เกษตรกรหยุดการดูแล เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องโรคราสนิมได้ จึงต้องปล่อยให้สวนกาแฟรกร้างและเลิกปลูกกันเป็นส่วนมาก

ในปี พ.ศ. 2517 โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา ได้มีดำริที่จะทำการวิจัยและพัฒนาการปลูกกาแฟอราบิก้าบนพื้นที่สูง เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวไทยภูเขาในภาคเหนือ ภายใต้ความช่วยเหลือของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (USDA)ได้มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการ โดยโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาได้รับเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้าลูกผสมรุ่นที่ 2 ที่ศูนย์วิจัยโรคราสนิมของโปรตุเกส (Coffee Rust Research Center, Oeiras, Portugal) ได้ผสมขึ้นมาเพื่อความต้านทานต่อโรคราสนิม โดยใช้พันธุกรรมที่สามารถต้านทานต่อโรคราสนิมของกาแฟอราบิก้า Hibride de Timor มาผสมกับกาแฟอราบิก้าที่มีพันธุกรรมต้นเตี้ย ผลผลิตสูง และกาแฟอราบิก้าที่มีรสชาติดี ลูกผสมรุ่นที่ 2 ทั้ง 26 คู่ผสมนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็น Hibrido de Timor derivative และกลุ่มอราบิก้าแท้ (True Arabica) โดยนำกาแฟอราบิก้าที่เพิ่งสำรวจพบ และเก็บเมล็ดมาในช่วงศตวรรษที่ 19 จากเอธิโอเปีย เช่น S.12 Kaffa, S.4 Agaro, S.6 Cioiccie Dilla Alghe เป็นต้น มาผสมกับกาแฟอราบิก้าสายพันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า เช่น แคททูรา คาทุยอิ ในปัจจุบันกาแฟอราบิก้าลูกผสมเหล่านี้ (หลายสายพันธุ์) ได้ผ่านการทดสอบกับเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคราสนิมแล้ว จึงได้คัดเลือกต้น บันทึกผลผลิตและพัฒนามาจนถึงรุ่นที่ 4 รุ่นที่ 5 รุ่นที่ 6 ของแต่ละสายพันธุ์ ปัจจุบันได้แพร่กระจายไปตามแหล่งปลูกต่าง ๆ บนภูเขาในภาคเหนือ เช่น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ดอยช้าง จ.เชียงราย บนพื้นที่สูงของจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก น่าน เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก ตามลำดับ

ในช่วงเวลาเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2517 กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้นำเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้าพันธุ์อื่นๆ มาให้โครงการหลวงพัฒนาชาวเขาอีกชุดหนึ่ง เช่น S.288, S.353 และ S.795 ซึ่งได้ผสมและพัฒนาพันธุ์จนกระทั่งมีความคงที่และไม่ผันแปรในความต้านทานต่อโรคราสนิม และเรื่องผลผลิต มาจากประเทศอินเดีย และกาแฟอราบิก้าสายพันธุ์ K.7 มาจากประเทศเคนย่า

ในปี พ.ศ. 2526 นักวิชาการจากกรมวิชาการเกษตร ได้เดินทางไปร่วมประชุมเรื่องโรคราสนิมของกาแฟ และศึกษาดูงานที่ศูนย์วิจัยโรคราสนิมของกาแฟที่ประเทศโปรตุเกส เมื่อเดินทางกลับประเทศ ได้นำเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้า คาติมอร์ (Coffee Arabica cv. Catimor) 2 เบอร์ กลับมาด้วย คือ คาติมอร์ CIFC 7962 และ คาติมอร์ CIFC 7963 หลังจากได้เพาะเมล็ดและทดสอบกล้าพันธุ์ กันเชื้อรา H. vastatric Race II ในห้องปฎิบัติการแล้ว กล้าพันธุ์เหล่านี้ได้ถูกส่งไปปลูกเพื่อทดสอบผลผลิต และความต้านทานต่อโรคราสนิมในสภาพธรรมชาติ ที่สถานีทดลองเกษตรหลวงขุนวาง จ.เชียงใหม่ สถานีเกษตรที่สูงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และศูนย์วิจัยและส่งเสริมกาแฟอราบิก้า โครงการหลวงแม่หลอด จ.เชียงใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 และปี พ.ศ. 2530 กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร ได้รับเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้า คาติมอร์ อีก 3 เบอร์ คือ คาติมอร์ CIFC 7958, คาติมอร์ CIFC 7960 และ คาติมอร์ CIFC 7961 จากศูนย์วิจัยโรคราสนิมของโปรตุเกส กล้าพันธุ์เหล่านี้ได้ถูกส่งไปปลูกที่สถานีเกษตรที่สูงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง สถานีทดลองเกษตรที่สูง จ.เชียงราย และ ศูนย์วิจัยและพัฒนากาแฟอราบิก้า มูลนิธิโครงการหลวง แม่หลอด จ.เชียงใหม่

ในปี พ.ศ. 2531 กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร ได้รับเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้าลูกผสมรุ่นที่ 2 ระหว่าง คาติมอร์ คาทุยอิ จำนวน 8 ชุด จากศูนย์วิจัยโรคราสนิมของโปรตุเกส กล้าพันธุ์ที่ได้หลังจากการทดสอบกับเชื้อรา H. vastatrix Race II แล้ว ได้ถูกส่งไปปลูกที่ศูนย์วิจัยและพัฒนากาแฟอราบิก้า โครงการหลวงแม่หลอด จ.เชียงใหม่ สถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง ภูขัด ภูเมี่ยง และภูสอยดาว จ.พิษณุโลก

สรุปได้ว่า กาแฟอราบิก้าสายพันธุ์ต่างๆ ได้แพร่กระจายไปตามแหล่งเพาะปลูกต่างๆ บนที่สูงในพื้นที่ของ มูลนิธิโครงการหลวง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง จ.เชียงราย ส่วนเมล็ดพันธุ์จากสถานีของสถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ได้ถูกส่งไปยัง สถานีทดลองเกษตรหลวงขุนวาง จ.เชียงใหม่ สถานีทดลองเกษตรที่สูงวารี จ.เชียงราย สถานีทดลองพืชสวน มูเซอ จ.ตาก สถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง ภูขัด ภูเมี่ยง และภูสอยดาว จ.พิษณุโลก และได้แจกจ่ายไปสู่เกษตรกร และชาวไทยภูเขาได้ปลูกกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

ที่มาของบทความ http://www.purichawon.com/_histofcofet/hiscofet.asp