i-happy
ความขยันอดทน ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุคนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ปรัญชาในการดำเนินชีวิตนี้ย่อมใช้ได้เสมอ จากตัวอย่างจาก 2 สามีภรรยา ที่เคยทำงานประจำ แต่ก็ได้นำประสบการณ์ด้านการทำอาหาร มาปรับใช้กับธุรกิจ ที่ถึงแม้จะไม่ตรงกับสายงานที่ทำมามากนัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้มาคือ ความขยัน อดทน ที่เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นต่อธุรกิจ “Coffee Car”

ในยุคนี้การขายสินค้าที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าให้มากที่สุด เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญยิ่ง ในขณะที่การแข่งขันก็มีสูง ดังนั้นใครที่สามารถยึดทำเลทองได้ก่อน โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ เพียงจ่ายแค่ค่าที่จอดรถ ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง โดยชัยวัฒน์ กับอชิรญาณ์ ดีเจริญ 2 สามีภรรยาเจ้าของธุรกิจ Coffee Car ซอยรางน้ำ เล่าว่า เดิม อชิรญาณ์ ทำงานด้านอาหาร แต่เมื่อแต่งงานก็ต้องมาช่วยงานร้านขายส้มตำของครอบครัวสามี แต่ลึกๆ แล้ว ทั้งคู่อยากเปิดร้านในฝันอย่างร้านกาแฟเป็นของตัวเอง จึงเริ่มสำรวจทำเล พร้อมหาพื้นที่เช่าหน้าร้านขายกาแฟ แต่สุดท้ายต้องยอมจำนนกับค่าเช่าที่แสนแพง

“เมื่อเราทั้งคู่เจอค่าเช่าที่ค่อนข้างสูง จึงคิดดัดแปลงรถซูบารุ ที่เดิมใช้เป็นรถขนวัตถุดิบของร้านส้มตำ มาต่อเติมเป็นรถขายกาแฟ หวังลดต้นทุนในเรื่องค่าเช่าที่ จ่ายเพียงค่าที่จอดรถเท่านั้น ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า ในขณะที่ปัญหาต่อมาคือ การทำกาแฟสดจากเครื่องชงกาแฟ ที่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ข้อจำกัดของรถซูบารุ เพราะหากไปจอดในสถานที่ที่ไม่มีที่ให้เชื่อมต่อไฟฟ้า ก็จะไม่สามารถทำกาแฟสดได้ จึงได้ควานหาเครื่องชงกาแฟที่คุณภาพกาแฟที่ออกมาไม่แพ้การชงจากเครื่องชงกาแฟ โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า จนมาเจอเครื่องชงกาแฟสดขนาดกระทัดรัด ใช้ความร้อนจากเตาอินฟราเรด ที่สามารถชงกาแฟสดออกมาได้รสชาติเหมือนกับชงจากเครื่องกาแฟสด”

หลังจากที่ตัดสินใจเปิดร้าน Coffee Car ทำให้คุณน้องไปเรียนการทำเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เพิ่มเติม และลองมาเปิดร้านในย่านซอยรางน้ำ ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ด้วยรถซุบารุที่ถูกออกแบบมาเพื่อขายเครื่องดื่มโดยเฉพาะ แม้ในช่วงแรกทั้งคู่จะพบปัญหาในเรื่องที่จอดรถ ต้องโดนย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท้อแท้ พยายามขยับพื้นที่มาเรื่อยๆ จนได้พื้นที่ลงตัวคือ ตรงข้ามโรงแรม พูลแมน บางกอก คิงเพาเวอร์ ซึ่งมีลูกค้าหลักคือพนักงานออฟฟิศ และผู้ที่ผ่านมาในย่านนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะสะดุดในรูปลักษณ์ของรถซูบารุ และเครื่องชงกาแฟสดขนาดกระทัดรัด ที่ลูกค้าเมื่อเห็นเค่เครื่องชง เกือบทุกรายต้องขอชิมรสชาติกาแฟสดจากเครื่องนี้

ส่วนการลงทุนธุรกิจนี้ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่สูงเกินไป เหมาะกับยุคนี้ที่จะทำให้คนตกงานสามารถเริ่มต้นธุรกิจ คือ ราคารถซูบารุที่ซื้อมาตั้งแต่แรกราคา 5 แสน (คุณน้องแนะนำว่าหากผู้ที่มีรถยนต์หรือรถจักยานยนต์อยู่แล้ว ก็สามารถนำมาดัดแปลงเป็นรถขายกาแฟได้ ขึ้นอยู่กับงบประมาณ) ในขณะที่ค่าตกแต่งของรถซูบารุคันนี้อยู่ที่ 30,000-40,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงเกินไปนัก โดยเฉพาะกับธุรกิจการขายเครื่องดื่มกาแฟสด และเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เพราะหากขายดีก็จะคืนทุนเร็ว ซึ่งร้าน Coffee Car เคยทำสถิติการขายเครื่องดื่มหลากหลายชนิดทั้งกาแฟสด ชามะนาว โกโก้ ชาเย็น บลูโซดา ฯลฯ ได้ถึง 3,700 บาท (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย) ซึ่งถือเป็นวันที่มีรายได้มากที่สุดตั้งแต่เปิดขายมา

“เราพยายามคิดเมนูเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ขึ้นมาอย่างเนื่อง โดยอาศัยการคิดแทนลูกค้าที่บางครั้งอาจเบื่อหน่ายกับเครื่องดื่มที่มีนมผสม ดังนั้นเราจึงทำน้ำผลไม้ขึ้นมาด้วย เช่น น้ำลำไย น้ำมะพร้าว เก็กฮวย น้ำมะนาวใบเตย ขายในราคาแก้วละ 15 บาท ในขณะเครื่องดื่มอย่างกาแฟ ชานมเริ่มต้นที่ 15-30 บาทเท่านั้น”

นอกจากทั้งคู่จะเน้นไปที่ธุรกิจ Coffee Car แล้ว ความขยันในการดำเนินธุรกิจยังไม่จบ เพราะทั้งคู่ยังทำคอฟฟี่ เบรก (Coffee break) ด้วย โดยตกกล่องละ 30 บาท ประกอบด้วยน้ำผลไม้ และแซนด์วิช ในขณะที่ในแต่ละวันก่อนไปขายกาแฟ ทั้งคู่จะตื่นแต่เช้ามืดเพื่อทำแซนด์วิช และน้ำผลไม้บรรจุขวด ส่งตามร้านกาแฟโบราณ โดยจัดส่งแซนด์วิชประมาณ 600 กล่อง/วัน

มาวันนี้ความที่ทั้งคู่ขยันอดทน กับธุรกิจเล็กๆ ที่ต้องต่อสู้กับสภาพอากาศร้อนของเมืองไทย ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความขยันและอดทนสามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจจริงๆ และถือเป็นสิ่งดีๆ ที่คนตกงานสามารถนำไปปรับใช้กับการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับธุรกิจเล็กๆ อย่างรถกาแฟ ก็สามารถเติมเต็มชีวิตที่เคยผิดหวังในฐานะมนุษย์เงินเดือนไปได้


ที่มา หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ
0 Responses

แสดงความคิดเห็น